พูดถึงกันเสมอว่า การจัดการศึกษาถ้าจะบรรลุเป้าหมายผู้เรียนจะต้องเก่ง ดี มีสุข เก่งก็วัดกันที่ผลการประเมินที่ค่อนเป็นตัวเลข ได้ถึงเกณฑ์ที่กำหนดก็แสดงว่าเก่ง เช่น อ่านเขียนได้ร้อยละ 80 ผลการแข่งขันได้ชนะเลิศหรือเหรียญทอง ผล O-net NT Las มีค่าเฉลี่ยตามเกณฑ์ เป็นค่าที่มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ที่เรายอมรับเพราะเป็นเกณฑ์ทีกำหนดว่าเท่านี้จึงจะเก่ง ถ้าทำได้ก็เป็นมาตรฐานว่าเก่งจริง
ส่วนความดีวัดกันตรงความประพฤติ ต้องประพฤติดีตามเกณฑ์อีกนั่นแหละที่กำหนด ก็สังเกตดูได้ เด็กคนนี้มีมารยาท อ่อนน้อมถ่อมตนมีมนุษยสัมพันธ์ มีจิตอาสา กตัญญูรู้คุณ รับผิดชอบ ซึ่งล้วนเป็นนามธรรม แต่ก็วัดได้ว่าดี
แต่ในด้านความสุขเราได้สังเกตและถามกันบ้างหรือไม่ ว่าเด็กเราที่เฝ้าสอนเขามีความสุขมากน้อยหรือไม่เพียงใด หากท่านเห็นแววตาที่สดใส ไม่หวาดกลัวหวาดระแวงต่อการมาเรียนรู้มาศึกษา ต้องการอยู่ใกล้คุณครู เป็นกันเอง พูดง่าย ๆ ก็คือ ไม่กลัวคุณครู ทุกเรื่องพูดคุยกับคุณครูได้ ไม่สร้างความหนักใจซึ่งกันและกัน นักเรียนเรียนรู้อย่างมีความสุข คุณครูรู้และเข้าใจความรู้สึกของผู้เรียนว่าต้องการเรียนรู้สิ่งใดเสมือนพ่อแม่ที่รู้และเข้าใจลูกตนเองว่าสีหน้าแววตาขณะนี้เขาต้องการอะไร แล้วเราให้เขาได้ เมื่อนักเรียนได้รับในสิ่งที่ประสงค์ คือ องค์ความรู้ต่าง ๆ ที่สามารถอ่านออกเขียนได้แล้ว ยังสามารถคิดและกระทำได้อย่างสร้างสรรค์ ข้อสำคัญคือนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ได้อย่างฉลาดเฉลียว เท่านี้ก็สามารถอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขแล้ว แต่....ถ้าเราเพิ่มอารมณ์ที่สดใส บริสุทธิ์ เป็นธรรมชาติ มีการแสดงออกที่มาจากจิตใจที่แท้จริง...จากความสามารถที่ต้องการแสดงออกให้คุณครูได้ชมได้ดูด้วยความมั่นใจอย่างสุดซึ้งว่าเขาทำได้ดีที่สุดแล้ว...มีเสียงหัวเราะเฮฮา...สนุกกับการเรียนรู้....เป็นเสียงที่สดใส..และเป็นเสียงธรรมชาติตามวัยของเด็ก.....ข้อสำคัญก็คือ ความพร้อมและความเป็นอิสระในการแสดงออกที่เขากลั่นความรู้และประสบการณ์ที่เราสะสมให้เขาได้แสดงออกมาได้อย่างอารมณ์ดี....เราแอบมองเห็นจุดนี้กันไหม....นั่นแหละความสุขที่แท้จริง.....ยากที่จะเกิด...แต่ไม่ยากที่จะทำ....เชื่อสิ !
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น