โรงเรียนชนะใช้กิจการกับปี 2554 ปีแห่งคุณภาพผู้เรียน...เราได้ทำอะไรกันไว้บ้างกับปีแห่งคุณภาพ...ซึ่งคำว่าคุณภาพ ย่อมหมายถึงผู้เรียนแน่นอน...เพราะฉะนั้น...คุณภาพต้องแสดงให้เห็นว่าผู้เรียนต้องดี...เก่ง...และมีความสุขน่ะสิ...ใช่ ! เลย...เราสร้างและทำได้แล้วทั้งวิชาการ...กีฬา..โดยเฉพาะด้านวิชาการ...เป็นผลพิสูจน์แล้วว่าเราได้คุณภาพเพราะผ่านการประเมินภายนอกรอบสาม...แม้จะแบบเฉียดฉิว..แต่เราก็ผ่านแล้ว...มีค่ะ..พอใช้ในระดับขั้นพื้นฐาน 2 ตัวบ่งชี้ คือ ที่ 5 กับ 8 แต่เราก็สุด ๆ กันแล้ว o.k...ผ่านแล้วอีก 5 ปีพบกันใหม่กับการประเมินจากภายนอก..
หันหน้ามาสู่กีฬาทีนี้...จากผลการสอนของคณะครู...การใฝ่ใจของผู้เรียน...การมาร่วมฝึกของชุมชนที่มาเป็นพี่เลี้ยงร่วมกับคณะครู...นับว่าปีนี้เราประสบผลสำเร็จทุก ๆ ด้านจริง ๆ ไม่ถือว่าสำเร็จอย่างไร....ล่ะ เพราะแข่งขันกีฬาระดับกลุ่มโรงเรียนพนมดงรัก นักเรียนเรามีทั้งหมด 168 คน โรงเรียนชนะใช้กิจการได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทน 34 รายการ ยังไม่รวมกีฬาหมากรุกและหมากฮอส ซึ่งถ้ารวมก็ เกือบ 40 รายการ...โดดเด่นไปทางเจ้าเทเบิ้ลเทนนิส แบดมินตัน เปตอง...เสริมด้วยฟุตซอล..กับกีฬา สพฐ....ก็หนักใจว่าเด็กเราน้อย ๆ พอเข้าแข่งระดับ เขตพื้นที่...จะได้ไหมน้อ...คงอยู่ตรงระดับเขตกระมัง....วันนี้เริ่มแข่งขันกีฬาเขตเป็นวันแรก...พอเข้าไปที่สนามเทเบิ้ลเทนนิส..นักเรียนหน้ายิ้มมา..คณะครูเดินมา..จะไปทานข้าวเที่ยงกัน...ก็เลยถามว่าได้ไหม...คำตอบที่น่าตกใจมากก็..คือว่า..ผอ.คะ..เราได้ 10 รายการแล้วค่ะ..อะไรนะ...ได้เข้าชิงชนะเลิศน่ะเหรอ...ไม่ใช่ค่ะ...ได้ไปจังหวัดค่ะ 10 รายการแล้ว..โอ้แม่จ้าว...อะไรจะปานนั้น....เก่งมากลูก ๆ ....คุณครูเก่งมาก...ชุมชนที่มาร่วมฝึกซ้อมเก่งมาก ...มาก...ขอบคุณ....ทุกคน...ขอบคุณคณะครูที่เป็นหลักใหญ่...ขอบคุณชุมชน...ขอบคุณคณะกรรมการสถานศึกษาที่เป็นกำลังใจให้เสมอมา...และขอบใจนักเรียนทุกคนที่ตั้งใจฝึกซ้อม...แม้งบประมาณจะมีน้อย....ครูจะพาเธอไปเที่ยวจังหวัดศรีสะเกษกัน....ผลสรุปการแข่งขันวันแรก....กีฬาเป็นกีฬา..จริง ๆ วิชาการยังไม่เข้ามาเกี่ยวข้อง...ชนะใช้กิจการ...ได้เป็นตัวแทนไปแข่งขันระดับจังหวัดที่ทราบตอนนี้ คือ เทเบิ้ลเทนนิส 12 รายการ แบดมินตัน 1 รายการ พรุ่งนี้แข่งวันที่ 2 กับการลุ้น..เปตอง..ที่เราก็เคยได้ระดับจังหวัดมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน...ปีนี้จะได้ไหม....ลุ้นแบบสุดตัว...กับการแข่งขันฟุตซอล..หมากรุก....หมากฮอส....อยากเชิญชวนทุกท่านทุกกำลังแรงใจที่จะส่งไปถึงได้มาร่วมเชียร์ร่วมกันนะคะ...และขอบคุณทุกเสียงทุกสาย..และกำลังใจเพื่อกีฬา...เพื่อความสุขของผู้เรียน...เพื่อคุณภาพการศึกษาในปี 2554...ของเรา...ชาวชนะใช้กิจการของเราที่มุ่งเพื่อสู่คุณภาพทางการศึกษา...เสมอค่ะ.....
Chanachai Room
วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2554
วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554
เล็ก ใหญ่ ก็แข่งขันคุณภาพ...
เริ่มเข้ายุคการแข่งขันทางวิชาการ..มาแล้ว...เริ่มเข้ามาแล้ว..เริ่มจากแข่ง Speech Contest ..มา รักษ์ภาษาไทย...ต่อไปจองคิวไว้ก็..วันภาษาไทย(29 กรกฎาคม ของทุกปี)..หรือที่เราเรียกว่าแข่งขันวิชาการน้อยนั่นเอง...สำคัญที่ว่า...ตอนนี้โรงเรียนเพิ่งจะเปิดเทอม..ยังสอนไม่เท่าไหร่เลย...ก็แข่งขันซะแล้ว...อ้าว...ไหว!...แข่งก็แข่ง....คัดเลือกได้เลย...มีอยู่แล้ว....เป็นรุ่นจิ๋วทางวิชาการ...สูงประมาณ 150 เซนติเมตร..มาแข่งขันและต่อสู้ทางคุณภาพทางการศึกษา...โรงเรียนท่านอาจจะมีความสูงหลายขนาด...เอาละ...ทุกขนาด ไม่ว่าเล็ก ใหญ่...ได้มีโอกาสที่จะต่อสู้หรือร่วมพัฒนาคุณภาพทางการศึกษา...เริ่มจากไหนดีล่ะ....เริ่มอย่างไรก็ได้ให้เป็นไปตามเกณฑ์การแข่งขัน.....ป้อนสู่ตัวผู้เรียน...จนมั่นใจว่าสามารถเดินเข้าสู่เวทีการแข่งขันได้จริง...อย่างมั่นอกมั่นใจ...เสมือนเราผู้เป็นครูฝึกนี่แหละเข้าแข่งขันซะเอง...ซึ่งแต่ละคนก็มีเทคนิคแตกต่างกันไป...กลยุทธ์ของใครที่ใช้ได้ก็รับไปเลย...เป็นตัวแทนระดับกลุ่มฯ...ระดับเขตพื้นที่..และสู่ระดับประเทศ...เราโรงเรียนเล็ก..วิ่งเต็มที่ทุก...เที่ยว..แต่ดีใจกับเพื่อนเสมอที่ได้รางวัลระดับภาค..ระดับประเทศ....เพราะเราก็สู้อย่างเต็มที่ที่สุดแล้ว....สู้อย่างพอใจว่า...ได้ที่เท่าไหร่...มาตรฐานคุณภาพ...เราก็สัมผัสได้เช่นกัน...แม้อาจจะไม่ใช่เวทีที่สูงสุด......แต่ก็เป็นรางวัลสูงสุดที่เราภูมิใจที่ได้มาแบบสุด ๆ ...ของเรา.....พอใจในความสามารถและมาตรฐานที่เราก็พัฒนาขึ้นได้เช่นกัน...นะจะบอกให้....จงพอใจในความสามารถที่เรามีเป็นที่สุด...นั่นแหละถูกต้องที่สุดแล้ว.....เรา...ชาวพัฒนาคุณภาพทางการศึกษาด้วยกัน.......
วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2554
กับการประเมินรอบสามที่ไม่แน่ใจว่าจะผ่านไหม?
ผ่านการประเมินแล้วรอบสามเมื่อ 10 13 14 มิ.ย. 54 ก็ไม่โล่งใจเท่าไร อย่างที่รู้กันนั่นแหละ ตัวบ่งชี้ที่ 5 ไม่ทราบจะผ่านหรือไม่ เกณฑ์ตั้งสูงซะขนาดนั้น คิดแล้วก็หวั่นวิตกน่าดู แต่ก็ประเมินไปแล้ว
ได้ข้อคิดมากมายกับการรับการประเมิน ว่า การจัดการศึกษาที่สนองนโยบาย การตั้งใจทำงานของครูถ้าท่านคิดว่าทุ่มเทสุด ๆ จิตอาสาต่อการทำงาน ตลอดเวลา และมั่นใจว่าผลที่เรากระทำสู่เด็ก สู่โรงเรียน และสู่ชุมชนจริง ท่านจะเขยิบเข้าหาเกณฑ์ที่จะผ่านมากที่สุด เพราะการมาประเมินของคณะกรรมการมาแบบกัลยาณมิตรมาก ๆ เรียกว่าใจดีแต่เก็บข้อมูลแบบเชิงลึกมาก ๆ ราวกับว่าเก็บข้อมูลเราไปก็บอกวิธีการปฏิบัติงานที่เดินได้ถูกทางไปด้วย...ดีมาก...โดยเฉพาะเอกลักษณ์ อัตลักษณ์...ชัดเจนเห็นภาพไปเลยล่ะ...ทำให้มองภาพออกว่า..อนาคตหรือหลังจากประเมินแล้วเราควรจะจัดการศึกษาอย่างไรผลจึงจะเกิดที่เด็กอย่างแท้จริงเป็นสำคัญ...
การเตรียมรับการประเมินที่ดีในมุมองของข้าพเจ้า 1)SAR ท่านต้องดี มีรายละเอียดครบ มีการประกันคุณภาพภายใน 18 มาตรฐานจริง มีเครื่องมือประเมินจริง ๆ เพราะเครื่องมือคือที่มาของผลการประกันคุณภาพภายในในแต่ละมาตรฐานทั้ง 18 มาตรฐาน 2)ประเมิน 18 มาตรฐานแล้ว มาจัดทำร่องรอยว่าในแต่ละมาตรฐานท่านทำโครงการ กิจกรรม สอดคล้องแต่ละมาตรฐานตามจริงที่ส่งผลตามตัวบ่งชี้แต่ละมาตรฐานและสู่ผู้เรียนอะไรบ้าง ...ตามสภาพจริงและสู่เด็กเป็นสำคัญ โดยมีการดำเนินการตาม หลัก PDCA ล้อมาจากแผนกลยุทธ์ และแผนปฏิบัติการที่ทำแต่ละปี ย้อนหลังไป 3 ปี (51-53) มีประเมินโครงการ กิจกรรมเมื่อดำเนินการสิ้นสุดโดยสรุปสู่ Output และ Outcome ที่สู่ตัวเด็กให้ได้ เช่น กิจกรรมให้เด็กนั่งสมาธิ ตรงนี้เป็นกระบวนการทำ แต่ต้องตอบได้ว่าเมื่อนักเรียนนั่งสมาธิแล้วเกิดอะไรตามมาหลังจากทำกิจกรรมนั่งสมาธิ กรรมการต้องการคำตอบตรงนั้น กิจกรรมอื่นก็เช่นเดียวกัน...ตอบคำถามให้ได้ว่าทำแล้วเด็กได้อะไร..เกิดอะไรกับเด็ก..โรงเรียน...ชุมชน..จากที่เราฝึกเราสอนมาทั้งปี 3)ทำร่องรอยแล้ว..ทีนี้ก็เตรียมหลักฐานตามโครงการ กิจกรรม ตามร่องรอยที่กำหนด(ย้อนหลัง 3 ปี เสมอ)...แม้ว่ากรรมการจะบอกว่าไม่ต้องจัดไว้ให้เดี๋ยวจะดูเอง...อย่าเลย..ทำเสริฟไว้ดีกว่า..เป็นการให้เกียรติ...เป็นการให้รู้ว่าเรา...พร้อมรับการประเมินอย่างเต็มที่แล้ว..ดีกว่า..เพราะการเตรียมจะหยิบจับและนำเสนอได้ง่ายที่สุด...ปานนั้นก็ยังหาเจอว่าเราไม่สมบูรณ์ในส่วนไหน...หาเก่งมาก..ต้องยอมรับเลยล่ะ...แต่ไม่น่ากลัวเพราะจะติเพื่อก่อมากกว่า..ต้องการชี้ให้เห็นการทำงานว่าต้องดำเนินการเป็นวงจร PDCA โดยตลอด 4)ที่นี้เวลาวางงาน..มุมมองนะ..ให้นำ 18 มาตรฐานมาสรุปเป็นตัวบ่งชี้ที่กรรมการจะประเมิน..ดีกว่า..และแยกข้อมูลและแยกร่องรอยเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มผู้เรียน ครู และผู้บริหาร...สำหรับเอกลักษณ์และมาตรการส่งเสริมทำต่างหากแยกให้เห็นชัดเจนและโดดเด่น....มาที่วางงาน..ตัวอย่างให้นำมาตรฐานที่7,8 มาสรุปเป็นปก..บอกว่าสอดคล้องกับตัวบ่งชี้ที่ 1 ...แล้วเช็คหลักฐานการวางประกอบโดยดูจากเอกสารประกอบการพิจารณาในคู่มือประเมินรอบสามทุกอย่างตามนั้น และ5)สำคัญที่สุดคือเตรียมเด็กให้ได้ตามกิจกรรมการสอนที่เป็นจริงตามตัวบ่งชี้ทั้งของเด็ก ครู และผู้บริหาร..โดยเฉพาะเด็กเพราะกรรมการจะเข้าไปเจาะลึกโดยตรง....เอกลักษณ์ อัตลักษณ์ ส่งเสริมชุมชน กรรมการสถานศึกษาต้องรู้ด้วยกับเราว่าคืออะไร....ทำได้ขนาดนี้ก็พอได้ลุ้นกันล่ะ...อย่าไปคำนึงตัวบ่งชี้ที่ 5..เพราะเป็นวิทยาศาสตร์...ผ่านก็ดีไป...แต่ไม่ผ่านก็มีโอกาสตั้ง 2 ปีได้แก้ไข...ผ่านเมื่อไรก็รับรองให้เมื่อนั้น...ต้องยอมรับความเป็นวิทยาศาสตร์ที่หลายโรงเรียนโดนแทบทั้งนั้น...ต้องทำตัวบ่งชี้อื่นนอกเหนือจากตัวบ่งชี้ที่ 5...ให้ผ่านให้มากที่สุด...เพราะถ้าไม่ผ่านแม้ 1 ตัวบ่งชี้ก็ คือ การรับการประเมินใหม่ทั้งหมด......
พูดแล้วก็หวั่น ๆ อยู่เหมือนกัน...แต่ก็อยากจะฝาก...และแลกเปลี่ยนกันตรงนี้กับการรับการประเมินรอบสามที่สมศักดิ์ศรีของเรา...ผลออกมาอย่างไงก็ช่าง...ต้องรับได้อยู่แล้ว...หลังประเมิน 20 วันก็จะรู้ผลจากฉบับร่าง...ประเมินเร็วเสร็จเร็ว...ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด...เราจะได้รับสิ่งดี ๆ จากผู้ประเมินจริง ๆ ถ้าเรามีความพร้อมมากพอ...ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกโรงเรียนที่รอรับการประเมิน.......
ได้ข้อคิดมากมายกับการรับการประเมิน ว่า การจัดการศึกษาที่สนองนโยบาย การตั้งใจทำงานของครูถ้าท่านคิดว่าทุ่มเทสุด ๆ จิตอาสาต่อการทำงาน ตลอดเวลา และมั่นใจว่าผลที่เรากระทำสู่เด็ก สู่โรงเรียน และสู่ชุมชนจริง ท่านจะเขยิบเข้าหาเกณฑ์ที่จะผ่านมากที่สุด เพราะการมาประเมินของคณะกรรมการมาแบบกัลยาณมิตรมาก ๆ เรียกว่าใจดีแต่เก็บข้อมูลแบบเชิงลึกมาก ๆ ราวกับว่าเก็บข้อมูลเราไปก็บอกวิธีการปฏิบัติงานที่เดินได้ถูกทางไปด้วย...ดีมาก...โดยเฉพาะเอกลักษณ์ อัตลักษณ์...ชัดเจนเห็นภาพไปเลยล่ะ...ทำให้มองภาพออกว่า..อนาคตหรือหลังจากประเมินแล้วเราควรจะจัดการศึกษาอย่างไรผลจึงจะเกิดที่เด็กอย่างแท้จริงเป็นสำคัญ...
การเตรียมรับการประเมินที่ดีในมุมองของข้าพเจ้า 1)SAR ท่านต้องดี มีรายละเอียดครบ มีการประกันคุณภาพภายใน 18 มาตรฐานจริง มีเครื่องมือประเมินจริง ๆ เพราะเครื่องมือคือที่มาของผลการประกันคุณภาพภายในในแต่ละมาตรฐานทั้ง 18 มาตรฐาน 2)ประเมิน 18 มาตรฐานแล้ว มาจัดทำร่องรอยว่าในแต่ละมาตรฐานท่านทำโครงการ กิจกรรม สอดคล้องแต่ละมาตรฐานตามจริงที่ส่งผลตามตัวบ่งชี้แต่ละมาตรฐานและสู่ผู้เรียนอะไรบ้าง ...ตามสภาพจริงและสู่เด็กเป็นสำคัญ โดยมีการดำเนินการตาม หลัก PDCA ล้อมาจากแผนกลยุทธ์ และแผนปฏิบัติการที่ทำแต่ละปี ย้อนหลังไป 3 ปี (51-53) มีประเมินโครงการ กิจกรรมเมื่อดำเนินการสิ้นสุดโดยสรุปสู่ Output และ Outcome ที่สู่ตัวเด็กให้ได้ เช่น กิจกรรมให้เด็กนั่งสมาธิ ตรงนี้เป็นกระบวนการทำ แต่ต้องตอบได้ว่าเมื่อนักเรียนนั่งสมาธิแล้วเกิดอะไรตามมาหลังจากทำกิจกรรมนั่งสมาธิ กรรมการต้องการคำตอบตรงนั้น กิจกรรมอื่นก็เช่นเดียวกัน...ตอบคำถามให้ได้ว่าทำแล้วเด็กได้อะไร..เกิดอะไรกับเด็ก..โรงเรียน...ชุมชน..จากที่เราฝึกเราสอนมาทั้งปี 3)ทำร่องรอยแล้ว..ทีนี้ก็เตรียมหลักฐานตามโครงการ กิจกรรม ตามร่องรอยที่กำหนด(ย้อนหลัง 3 ปี เสมอ)...แม้ว่ากรรมการจะบอกว่าไม่ต้องจัดไว้ให้เดี๋ยวจะดูเอง...อย่าเลย..ทำเสริฟไว้ดีกว่า..เป็นการให้เกียรติ...เป็นการให้รู้ว่าเรา...พร้อมรับการประเมินอย่างเต็มที่แล้ว..ดีกว่า..เพราะการเตรียมจะหยิบจับและนำเสนอได้ง่ายที่สุด...ปานนั้นก็ยังหาเจอว่าเราไม่สมบูรณ์ในส่วนไหน...หาเก่งมาก..ต้องยอมรับเลยล่ะ...แต่ไม่น่ากลัวเพราะจะติเพื่อก่อมากกว่า..ต้องการชี้ให้เห็นการทำงานว่าต้องดำเนินการเป็นวงจร PDCA โดยตลอด 4)ที่นี้เวลาวางงาน..มุมมองนะ..ให้นำ 18 มาตรฐานมาสรุปเป็นตัวบ่งชี้ที่กรรมการจะประเมิน..ดีกว่า..และแยกข้อมูลและแยกร่องรอยเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มผู้เรียน ครู และผู้บริหาร...สำหรับเอกลักษณ์และมาตรการส่งเสริมทำต่างหากแยกให้เห็นชัดเจนและโดดเด่น....มาที่วางงาน..ตัวอย่างให้นำมาตรฐานที่7,8 มาสรุปเป็นปก..บอกว่าสอดคล้องกับตัวบ่งชี้ที่ 1 ...แล้วเช็คหลักฐานการวางประกอบโดยดูจากเอกสารประกอบการพิจารณาในคู่มือประเมินรอบสามทุกอย่างตามนั้น และ5)สำคัญที่สุดคือเตรียมเด็กให้ได้ตามกิจกรรมการสอนที่เป็นจริงตามตัวบ่งชี้ทั้งของเด็ก ครู และผู้บริหาร..โดยเฉพาะเด็กเพราะกรรมการจะเข้าไปเจาะลึกโดยตรง....เอกลักษณ์ อัตลักษณ์ ส่งเสริมชุมชน กรรมการสถานศึกษาต้องรู้ด้วยกับเราว่าคืออะไร....ทำได้ขนาดนี้ก็พอได้ลุ้นกันล่ะ...อย่าไปคำนึงตัวบ่งชี้ที่ 5..เพราะเป็นวิทยาศาสตร์...ผ่านก็ดีไป...แต่ไม่ผ่านก็มีโอกาสตั้ง 2 ปีได้แก้ไข...ผ่านเมื่อไรก็รับรองให้เมื่อนั้น...ต้องยอมรับความเป็นวิทยาศาสตร์ที่หลายโรงเรียนโดนแทบทั้งนั้น...ต้องทำตัวบ่งชี้อื่นนอกเหนือจากตัวบ่งชี้ที่ 5...ให้ผ่านให้มากที่สุด...เพราะถ้าไม่ผ่านแม้ 1 ตัวบ่งชี้ก็ คือ การรับการประเมินใหม่ทั้งหมด......
พูดแล้วก็หวั่น ๆ อยู่เหมือนกัน...แต่ก็อยากจะฝาก...และแลกเปลี่ยนกันตรงนี้กับการรับการประเมินรอบสามที่สมศักดิ์ศรีของเรา...ผลออกมาอย่างไงก็ช่าง...ต้องรับได้อยู่แล้ว...หลังประเมิน 20 วันก็จะรู้ผลจากฉบับร่าง...ประเมินเร็วเสร็จเร็ว...ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด...เราจะได้รับสิ่งดี ๆ จากผู้ประเมินจริง ๆ ถ้าเรามีความพร้อมมากพอ...ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกโรงเรียนที่รอรับการประเมิน.......
วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
1 ใจ 2 ดวง เป็นกำลังใจ
คนพิเศษบางคนอาจจะมี 1 เดียวที่ยึดมั่นไว้ในใจ แต่ถ้ามากกว่า 1 ก็ไม่น่าจะผิดใช่ไหมถ้าจับวางให้ถูกที่ และเหมาะสม ให้เสมอกันในความจริงใจที่ให้ แต่ในความเข้าใจ ทำใจ ที่สื่อสารในมิตรสัมพันธ์เราจัดลงตัวได้ยาก ขึ้นกับบุคคลแต่ละบุคคล สำหรับข้าพเจ้าการให้เกียรติให้ทุกคนเสมอกัน ต่างกันก็ตรงที่คนคนนี้เข้าใจว่าเขาเป็นแบบนี้ และอีกคนนี้ต้องเข้าอีกแบบนี้ เป็นการเข้าใจที่คิดว่าเข้าใจแบบเท่าเทียมกันเพราะคนเราไม่เหมือนแต่คล้ายกันจึงต้องให้การเข้าใจที่คล้ายกันมาก ไม่ผิดไม่แตกต่างใช่ไหม...แต่คำตอบที่ได้รับก็คือ..เห็นแก่ตัวเกินไปหรือเปล่า...ตอบว่าไม่ใช่...เป็นการเข้าใจคนที่แตกต่างแบบคล้ายกันมากด้วยการเข้าใจที่ให้ใกล้เคียงกันมากนั่นเอง...เป็นธรรมที่สุดแล้วล่ะ..บนความแตกต่างที่ยังไงก็ไม่เหมือนกันแน่นอน...แม้ฝาแฝดก็ตาม...เพราะการเข้าใจที่ให้แบบใกล้เคียงไม่น่าจะผิด...ถ้าฉันเป็นคนตอบคำถามนี้เอง...เป็นธรรมและมั่นใจว่าทุกคนได้รับความเข้าใจที่เสมอกัน...ในมุมมองหนึ่งของปมชีวิตที่คิดได้ต่างและหลากหลายอย่างเหมาะสมและสวยงาม......ฝากสะท้อนในทุกมุมมองที่ต้องการสะท้อนเชิงบวกด้วยกัน
ว้าวุ่นใจที่ต้องเป็นระบบ
กับการจะเปิดเทอมใหม่ กับการรับการประเมินรอบสามที่ยังไม่ถือว่าพร้อมเท่าที่ควร กับกิจกรรมพิเศษที่ต้องกระทำหลายอย่าง งานเรียนงานราชช่างมากมายจริงหนอ แล้วจะเริ่มอันไหนก่อน สับสนว้าวุ่น แล้วจะเรียบร้อยสักอย่างไหมเนี่ย ในความวุ่นวายที่ทำอะไรไม่ได้หรือทำได้ยาก ทำให้เกิดข้อคิด ถ้าเรามัวว้าวุ่นจะวุ่นไม่รู้จบอยู่อย่างนี้ ต้องเริ่มไหม่ เริ่มด้วยการจัดลำดับอย่างมีสติ อะไรควรทำก่อนทำหลัง รันโปรแกรมออกมาก่อนตามลำดับความเร่งด่วน อบอุ่นใจที่คณะครูร่วมกันทำงานเป็นอย่างดี เหนียวแน่น มาทำงานกันเองโดยไม่มีปิดเทอมขณะที่เราไปศึกษาดูงาน ณ ต่างประเทศ ต้องขอบคุณตรงความโชคดีตรงนี้ นี่แหละเป็นกำลังใจในการทำงานทั้งงานและเรียน คงต้องฮึดให้สู้แล้วล่ะ ทุกอย่างก็น่าจะผ่านไปด้วยดี ด้วยความมุ่งมั่นในงานที่ต้องมีประสิทธิภาพ การก้าวไปข้างหน้าที่คุณภาพทางการศึกษารออยู่ ถ้ามัวสับสนอยู่อย่างนี้ไม่เกิดผลสำเร็จแน่นอน อยากบอกทุกคนท่ามกลางจิตใจข้าพเจ้าก็ยังอ่อนล้าอ่อนแรงนี้ว่า...สู้ต่อกันเถอะ เมืองไทยแม้จะร้อน ก็ขอให้ร้อนด้วยไฟแห่งความมานะพยายามที่จะมุ่งมั่นฟันฝ่าอุปสรรคแห่งวงจรการทำงานด้วยกัน....จงสู้และก้าวต่อไปร่วมกัน...กับผู้ใฝ่ในการทำงานอย่างไม่หยุดยั้ง...สักวันรางวัลชีวิตต้องมีมาสมดังใจท่านคิดอย่างแน่นอน...สู้ด้วยกันนะ.....หมู่เฮา....
วันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
จากนิวซีแลนด์
24 เมษายน - 8 พฤษภาคม 2554 ท่องภาษา ณ ประเทศนิวซีแลนด์ ไม่ง่ายเลยกับการฟังภาษาท้องถิ่น มีความเพี้ยนในสำเนียงค่อนข้างสูง แต่ด้านการเรียนรู้ด้านภาษาดีมาก ครูที่สอนจะพยายามและเอื้อต่อการให้เราได้เรียนรู้อย่างเข้าใจในภาษาระยะเวลาสั้น ๆ ทำให้เรากล้าที่จะพูดกับ Host เจ้าของที่พักเพื่อฝึกภาษาซึ่งเอื้อต่อการเรียนรู้ที่ดีมาก ทำให้กล้าฟังกล้าโต้ตอบอย่างไม่เคอะเขิน เพราะถ้าเขาฟังเราไม่เข้าใจเขาจะโทษที่ตัวเขาเองว่าทำไมฟังเราไม่เข้าใจ จะตำหนิตัวเองมากกว่า เราจะไม่ผิด ทำให้เรามั่นใจ ยิ่งเราบอกว่าเราสามารถพูดอังกฤษได้น้อย เขาจะพูดช้า ๆ กับเราสื่อสารด้วยคำง่าย ๆ เพื่อการเข้าใจที่สุด การดูแลดีมาก จะได้ภาษาไปในตัวและเรียนรู้ขนบธรรมเนียมไปด้วย ถ้าเรามีความพยายามที่จะเรียนรู้และมีความกล้าเราก็จะมั่นใจและโต้ตอบภาษาได้ทันที ดังนั้นการไปศึกษาดูงานต่างประเทศนอกจากจะรู้จักประเทศที่เราไปแล้วเราจะได้ความมั่นใจในด้านภาษากลับมาด้วย มีคนไทยและชาติอื่น ๆ มาเรียนมากมาย หากท่านใดสนใจจะไปฝึกภาษาโดยตรงหรือส่งบุตรหลานไปฝึกภาษาจะมีค่าใช้จ่ายในเบื้องต้นอยู่ที่ 130,000 บาทต่อเดือนเพือ่การไปเรียนภาษาที่เมืองโอ๊คแลนด์ และ 1 เดือนถ้าเรามีความรู้ด้านภาษาอยู่บ้างแล้ว จะคล่องแน่นอน เพราะคุณครูจะสอนจริงจังมาก ระดับฝีมือ ขอบคุณโอกาสจากการศึกษาระดับปริญญาโท ปริญญาเอก ทำให้ชีวิตมีคุณค่าดังที่หวังและจะนำมาประยุกต์ใช้ให้ดีที่สุด...กับด้านภาษาอังกฤษเพื่อพัฒนาตนเองของข้าพเจ้า......ประทับใจและภูมิใจอย่างที่สุด...แล้ว
วันพุธที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2554
ผู้นำ ผู้ตาม
ผู้นำทางการศึกษา คือผู้บริหาร ที่เราเข้าใจกัน ผู้ตามก็คือ ผู้ที่ทำงานร่วมกัน คณะครู นักการ ครูธุรการ ครูพี่เลี้ยง พนักงานราชการ รวมไปถึงอัตราจ้าง บทบาทผู้นำ คือ ต้องนำทางสู่เป้าหมายทางการศึกษา ต้องประคับประครองคุณภาพทางการศึกษาไม่ให้เดินหลงทาง ผู้ตามร่วมปฏิบัติตาม แต่ในการปฏิบัติตามบางครั้งก็มีจุดสะดุด มาจากความไม่เข้าใจในการทำงาน มอบงานอย่างไม่เข้าใจ ทำงานแบบไม่เข้าใจ ต่าง ๆ นานา แล้วตรงไหนจะเข้าใจ ถ้าเราไม่เข้าใจในบทบาทเสียก่อน คนเราหากเข้าใจบทบาทว่าเรามีบทบาทอย่างไร เราสามารถที่จะทำงานโดยไม่มีผู้บริหารก็ได้ ถ้าเข้าใจในการทำงานดีพอ......แต่ไม่เป็นอย่างงั้นเสมอไป เพราะบางคนอาจหมายถึงผู้บริหารเอง ตัวผู้ปฏิบัติเองไม่เข้าใจบทบาทที่ดีพอ บางท่านชอบบอกชอบสอนผู้บริหาร เป็นทิศทางย้อนศร ถ้าสร้างสรรค์แล้วคงไม่มีใครว่าได้ แต่ทำไมเราไม่คิดมุมกลับ ว่าการปฏิบัติงาน ปฏิบัติตน เราต้องฟังนโยบายก่อนว่าเป็นอย่างไร เราถึงจะวางบทบาทตนเองได้ถูก และการทำงานที่เป็นแบบอย่างที่ดี การเสนอความคิดเห็นที่อยู่ในกรอบ การมีสัมมาคาวะต่อผู้นำ การอ่อนน้อม การทำตาม คิดว่ายังไม่เป็นการเชยจนเกินไป ยังใช้ได้ดี เพราะการปฏิบัติงานเช่นนี้เป็นการทำงานอย่างมีเสน่ห์ ทำงานอย่างมีความสุข ความคิดเห็นที่แตกต่างต่างคนต่างถกเถียง คนกลางที่แต่งตั้งมาบริหารมาดูแล คือ ผู้นำ ผู้ตามหากคิดเห็นแบบเชื่อมั่นในตนจนมองข้ามความเป็นกรอบเป็นนโยบายอยู่ตลอดเวลา ถามว่าเราจะแล่นเรือแห่งคุณภาพทางการศึกษาไปทางไหน หากคุณไม่มั่นใจในผู้นำ ไม่ศรัทธาในผู้นำของคุณ ครูใช้คำว่าสอนกับนักเรียน ผู้นำสอน อบรม ชี้แนะ แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้ตาม ตามครรลองนโยบายและการปฏิบัติที่เขาได้ผ่านการอบรมมาระดับหนึ่ง ผู้ตามมีสิทธิในการเสนอความคิดเห็นได้หลากหลายแต่ภายใต้กรอบที่ควรต้องปฏิบัติร่วมกันที่เรียกว่านโยบาย หากใช้คำเพี้ยนจากเสนอเป็นสอนผู้นำ...ท่านมั่นใจใช่ไหมว่าท่านมีแบบอย่างที่เป็นเสน่ห์มากพอจะสอนเขาได้.....ลองหยุดคิดให้ดี....เพราะบทบาทผู้นำ...ผู้ตาม...ถูกกำหนดไว้เป็นอย่างดี...ผ่านการอบรมหลายสนามทุก ๆ คน ทั้งผู้นำและผู้ตาม ความคาดหวังลึก ๆ ก็เพียงเราเข้าใจบทบาทหน้าที่ซึ่งกันและกัน...งานและเป้าหมายการศึกษาก็อยู่ไม่ไกล....หรอกท่าน.......ขอให้ทำงานอย่างมีเสน่ห์ทั้งในกรอบและนอกกรอบงานที่ท่านจะเดิน....ก็..O.K...แล้ว...
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)